วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2551

:: ท้าวปาจิตกับนางอรพิม (ตำนานเมืองพิมาย) ::

ท้าวปาจิต เป็นโอรสพระเจ้าอุทุมราช กษัตริย์ผู้ปกครองเมืองนครธม เมื่อเจริญวัยเป็นหนุ่ม พระบิดาก็ให้เลือกคู่ครองโดยการให้ทหารไปประกาศเรียกหญิงสาว บรรดามีในเมืองนั้นมาให้ท้าวปาจิตเลือก สาวที่มามีทั้งลูกสาวเสนา อำมาตย์ ข้าราชการ ลูกพ่อค้า ชาวนา ชาวไร่ มากันจนหมดเมือง ท้าวปาจิตไม่สนใจเลยสักคนเดียว จึงมิได้คล้องมาลัยให้สาวคนไหน พระเจ้าอุมุมราชได้ให้โหรทำนายโชคชะตาราศีและเนื้อคู่แก่พระโอรส โหรหลวงตรวจดูดวงชะตาตามวันเดือนปีเกิดแล้ว กราบทูลว่าเนื้อคู่ของท้าวปาจิตยังไม่เกิด ขณะนี้อยู่ในครรภ์หญิงชาวนาผู้หนึ่งในเขตเมืองพิมาย ท้าวปาจิตจะต้องเดินทางไปหาหญิงผู้นั้น ที่อยู่ของหญิงผู้นี้อยู่ทางทิศพายัพของนครธม ซึ่งสังเกตได้ง่ายว่ามีครรภ์และมีเงากลดกั้นอยู่

ท้าวปาจิตไม่รอช้า รีบเร่งออกเดินทางไปตามคำทำนายของโหรจนกระทั่งมาถึงเขตเมืองพิมาย ท้าวปาจิตไม่แน่ใจจึงกางแผนที่ออกดูที่ตรงนั้นเรียกในภายหลังว่า บ้านกางตำรา และเพี้ยนเป็น บ้านจารตำรา ท้าวปาจิตข้ามถนนเพื่อเข้าเขตเมือง บริเวณนั้นเรียกว่า บ้านถนนแล้วเดินมาตามทางถึงหมู่บ้านหนึ่งมีต้นสนุ่นมาก ได้ชื่อว่า บ้านสนุ่น เลยบ้านสนุ่นก็มาถึงท่าน้ำใหญ่ ปัจจุบันเรียก บ้านท่าหลวง แต่ปรากฎว่าเป็นทางผิด จึงไปอีกทางหนึ่งถึง บ้านสำริด พบหญิงครรภ์แก่ชื่อ ยายบัว กำลังดำนาอยู่ เหนือหัวของนางมีเงาคล้ายกลดกั้นอยู่ ก็แน่ใจว่าใช่ตามคำทำนาย จึงเข้าไปแสดงตัวว่าเป็นใคร มีความประสงค์อะไร และแสดงความตั้งใจว่าจะอยู่ช่วยทำนาให้จนกว่าจะคลอดลูก หากลูกเป็นชายจะยกย่องให้เป็นน้องชาย แต่ถ้าเป็นหญิงจะขอนำไปเป็นมเหสี ยายบัวก็ตกลง


ท้าวปาจิตอาศัยอยู่กับยายบัวเรื่อยมา ช่วยทำงานทุกอย่างทั้งดำนา เลี้ยงโคกระบือ เกี่ยวข้าว ตีข้าว จนยายบัวครบกำหนดคลอด จึงไปตามหมอตำแยมาทำคลอด (หมู่บ้านนั้นจึงได้ชื่อว่าบ้านตำแย) ทารกในครรภ์ยายบัวเป็นเพศหญิงตรงตามคำทำนายของโหร ยายบัวตั้งชื่อให้ว่า อรพิน แต่ในภาษาท้องถิ่นจะเรียกว่า อรพิม มีหน้าตาสวยงาม ผิวพรรณผ่องใส เป็นที่พอใจแก่ท้าวปาจิตยิ่งนัก ครั้นนางเจริญวัยเป็นสาวสวยก็ได้ผูกสมัครรักใคร่กับท้าวปาจิต วันหนึ่งท้าวปาจิตได้บอกให้นางทราบว่าตนจะกลับไปบ้านเมืองเพื่อยกขันหมากจากนครธมมารับนางไปอภิเษกสมรสที่นครธม แล้วก็ลานางไป

เมื่อมาถึงนครธม ท้าวปาจิตได้นำความขึ้นบังคมทูลต่อพระเจ้าอุทุมราชพระบิดาจึงให้จัดขบวนขันหมากมีจำนวนรี้พลมากมาย เดินทางไปเมืองพิมาย โดยที่หารู้ไม่ว่า บัดนี้ได้เกิดเหตุร้ายขึ้นกับนางอรพิม นั่นคือ พระเจ้าพรหมทัต ผู้ครองเมืองได้ทราบข่าวความงามของนางจึงได้ให้พระยารามไปนำตัวนางมาไว้ในพระราชวัง นางอรพิม สุดจะขัดขืนได้จำต้องมา และตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้ามิใช่ท้าวปาจิตแล้ว ผู้ใดแตะต้องนางก็ขอให้กายนางร้อนเหมือนไฟ พระเจ้าพรหมทัตจึงแตะต้องนางมิได้ กระบวนขันหมากของท้าวปาจิตยกออกจากนครธมมาหลายคืนหลายวัน จนมาถึงลำน้ำแห่งหนึ่ง (อยู่ในตำบลงิ้ว ปัจจุบันนี้) ท้าวปาจิตให้ทหารหยุดกระบวนขันหมาก เพื่อให้ทหารและสัตว์พาหนะได้พักและบริโภคน้ำ ชาวบ้านเห็นผู้คนมากันมากมายจึงเข้ามาไต่ถามว่ามาทำไมและจะไปไหน พวกทหารตอบว่าจะไปบ้านสำริด เพราะพระโอรสกษัตริย์เมืองขอมจะแต่งงานกับสาวบ้านนี้ ชาวบ้านถามชื่อหญิงนั้น ทหารบอกว่าชื่อนางอรพิม ชาวบ้านจึงเล่าให้ฟังว่า พระเจ้าพรหมทัตได้นำตัวเข้าไปไว้ในปราสาทเสียแล้วทั้งพระเจ้าอุทุมราชและท้าวปาจิตตกพระทัยยิ่งนัก โดยเฉพาะท้าวปาจิตโกรธมากถึงกับโยนข้าวของเครื่องใช้ขันหมากทิ้งแม่น้ำหมด (ที่ตรงนั้นเรียกว่าลำมาศหรือลำปลายมาศที่ไหลไปสู่ลำน้ำมูลจนทุกวันนี้) ส่วนรถทรงก็ตีล้อดุมรถและกงรถจนหักทำลายหมด ชาวบ้านนำมากองรวมกันไว้จนที่เรียกว่า บ้านกงรถ จากนั้นท้าวปาจิตได้ขออนุญาตไปตามนางตามลำพัง พระเจ้าอุทุมราชและข้าทหารจึงเดินทางกลับนครธม ท้าวปาจิตไปพบยายบัว ปลอบโยนนางว่าจะใช้ปัญญานำนางอรพิมออกมาให้ได้ แล้วปลอมตัวเป็นลูกชายยายบัวเข้าไปตามหาน้องสาวชื่อ อรพิมไปบอกนายประตูว่าจะขอเข้าเยี่ยมน้องสาว นายประตูถามว่าใคร ท้าวปาจิตตอบว่า นางอรพิม ซึ่งจะเป็นพระมเหสีของพระเจ้าพรหมทัตในไม่ช้านี้ นายประตูพาไปพบนางอรพิม นางร้องว่า อ้อ พี่มา... (คำนี้เพี้ยนเป็นพิมายในปัจจุบันนี้) พระเจ้าพรหมทัตมาพบนางอรพิม เห็นท้าวปาจิตจึงถามว่าใคร นางตอบว่าเป็นพี่ชายของนาง พระเจ้าพรหมทัตถามว่าทำมาหากินอะไร ทำไร่ทำนา หรือค้าขายอะไร ท้าวปาจิตตอบว่าค้าขายทางไกล ทราบว่าน้องจะอภิเษกเป็นพระมเหสีจึงมาอวยพรให้ และอยากรู้จักพระองค์ให้พระองค์รู้จักตนด้วย พระเจ้าพรหมทัตดีใจ เพราะนางอรพิม จะได้ยอมเป็นพระมเหสีอย่างที่เคยลั่นวาจาไว้ จึงให้หาเหล้ายาอาหารมาเลี้ยงดู ท้าวปาจิตดื่มเล็กน้อยแต่พระเจ้าพรหมทัตถูกนางอรพิมมอมเหล้าเสียจนเมามายเสียสติ ท้าวปาจิตจึงใช้พระขรรค์ฟันคอขาดอยู่ ณ ที่นั้น แล้วอุ้มนางอรพิมหนีออกมา

ท้าวปาจิตและนางอรพิม เดินทางมาถึงป่าใหญ่แห่งหนึ่ง พอดีเป็นเวลารุ่งสว่างพบนายพรานคนหนึ่งชื่อ พรานนกเอี้ยง ออกมาเที่ยวล่าเนื้ออยู่ พรานนกเอี้ยงเห็นนางอรพิมสวยก็นึกรักนาง จึงใช้หน้าไม้ยิงท้าวปาจิตตายแล้วพานางไป นางทำเลห์กลว่ามีกำลังน้อยเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยมากจะเดินทางไม่ไหว ถ้ามีรถหรือเกวียนหรือช้างม้าให้นางนั่งไป นางก็ยินดีจะไปด้วย พรานหลงเชื่อไปหากระบือมาให้นางขี่ ตัวนายพรานนั่งข้างหน้าคอยบังคับกระบือ นางอรพิมนั่งข้างหลังพอได้โอกาสก็ใช้พระขรรค์ท้าวปาจิตแทงนายพรานตาย นางกลับมาที่ศพท้าวปาจิต ร่ำไห้คร่ำครวญอยู่จนพระอินทร์เกิดความสงสารชวนพระเวสสุกรรม แปลงกายเป็นงูกับพังพอนสู้กัน เมื่อพังพอนตาย งูก็ไปกัดเปลือกไม้ชนิดหนึ่งมาเคี้ยวพ่นใส่บาดแผลพังพอน พังพอนจึงฟื้นขึ้นต่อสู้กันต่อไป ครั้นงูตายพังพอนก็ทำเช่นเดียวกัน สัตว์ทั้งสองผลัดกันตายผลัดกันฟื้นเช่นนี้เป็นเวลาพอสมควรแล้วหายไป นางอรพิม เฝ้าสังเกตอยู่ เห็นหนทางที่จะทำให้ท้าวปาจิตฟื้นจึงไปเอาเปลือกไม้มาเคี้ยวพ่นใส่บาดแผลท้าวปาจิตเช่นกัน ท้าวปาจิตฟื้นขึ้นได้ช่วยกันเก็บเปลือกไม้ติดตัวไปเท่าที่จะนำไปได้แล้วออกเดินทางต่อไปยังนครธม

หลังจากรอนแรมกันมาเป็นเวลาพอประมาณ ก็มาถึงฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่งซึ่งกว้างมากไม่มีเรือแพหรือขอนไม้จะข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามได้ จึงนั่งปรึกษาหาหนทางอยู่ ขณะนั้นมีเถนคนหนึ่ง ชาวบ้านเรียก เถนเรือลอย เพราะเถนลงเรือไปบิณฑบาตตามแม่น้ำเป็นประจำ เถนพายเรือผ่านมา ท้าวปาจิตขอร้องให้ช่วยส่งข้ามฟากให้ด้วย เถนเห็นนางอรพิมสวยมาก็คิดจะพานางไปกับตน จึงบอกว่าเรือลำนี้ขึ้นได้ครั้งละ 2 คนเท่านั้นมิฉะนั้นเรือจะล่ม ท้าวปาจิตจำต้องให้นางอรพิมไปกับเถนก่อน เถนพานางลอยน้ำไปเรื่อย ๆ ท้าวปาจิตจะเรียกอย่างไรก็มิได้หยุด จึงต้องพลัดพรากกันอีกครั้งหนึ่ง นางอรพิมต้องคิดอุบายหนีจากเถนจนกระทั่งมาพบต้นมะเดื่อต้นหนึ่งสูงมาก ลูกดกเต็มต้นผลงาม ๆ น่ากินทั้งนั้น นางบอกเถนว่าอยากกินมะเดื่อ ให้เถนปีนขึ้นไปเก็บมาให้ เอาลูกที่งามที่สุดอร่อยที่สุดสุกที่สุดซึ่งจะอยู่บนยอดสูง เถนหลงเชื่อปีนต้นไม้ไปหาลูกมะเดื่อที่นางต้องการนางรีบเอาหนามมาสะไว้โคนต้น แล้วลงเรือพายหนีไป ก่อนไปได้สั่งไว้เป็นวาจาสิทธิ์ว่าให้เถนอยู่บนต้นมะเดื่ออย่าไปไหน เถนจึงตายอยู่บนต้นมะเดื่อนั่นเอง ก่อนตายได้แช่งให้มีแมลงหวี่มาเกิดในลูกมะเดื่อทุกลูกไป

นางอรพิมพายเรือกลับมาหาท้าวปาจิตแต่ไม่พบ จึงจอดเรือแล้วขึ้นฝั่งเที่ยวตามหาจนพระอินทร์เกิดความสงสารลงมาประทานแหวนให้วงหนึ่งบอกนางว่า ถ้าสวมไว้ที่นิ้วชี้จะกลายร่างเป็นชายแต่ถ้าถอดออกสวมนิ้วอื่นจะกลายเป็นหญิงดังเดิม นางอรพิมจึง ควักนมทั้งสองข้างออกมา ปาเข้าป่า กลายเป็นต้น "นมนาง" จากนั้นนางจิกแก้มอวบอิ่มจิ้มลิ้มเป็นพวง เหวี่ยงทิ้งไปกลายเป็นต้น "แก้มอ้น" และควักโยนีขึ้นปาเข้าป่ากลายเป็นต้น "โยนีปีศาจ" นางจึงสวมแหวนที่นิ้วชี้จึงกลายร่างเป็นชาย เดินติดตามท้าวปาจิตต่อไป พบใครที่ไหนก็สอบถามว่าเห็นใครรูปร่างหน้าตาอย่างนี้ไหม รู้จักคนชื่อท้าวปาจิตไหม สอบถามจนทั่วแล้วก็ไม่มีผู้ใดรู้จักหรือเห็นเลย นางจึงร่อนเร่ไปโดยอยู่ในเพศชายตามลำพังจนกระทั่งมาถึงเมืองหนึ่ง ชื่อ จัมปากนคร เมืองจัมปากนครที่นางอรพิมมาถึงนี้ พระมหากษัตริย์ผู้ปกครองเมืองมีพระราชธิดาสวยงามมากแต่ไม่ทราบว่าเป็นอะไรตาย หมอคนใดก็ช่วยไว้ไม่ได้ ชาวเมืองพากันร้องไห้อาลัยรักนางอยู่ นางอรพิมรู้เข้าก็อยากจะลองช่วยนางดู ให้คนพาไปเฝ้าพระมหากษัตริย์ทูลขออนุญาตรักษา เมื่อพระองค์อนุญาต นางอรพิมได้ใช้เปลือกไม้ที่ได้จากป่าคราวรักษาท้าวปาจิตมาเคี้ยวพ่นใส่พระราชธิดาจนฟื้นขึ้น พระมหากษัตริย์และพระญาติดีใจมาก ปรึกษากันว่าจะให้นางอรพิมอภิเษกกับพระธิดา แต่นางอรพิมบ่ายเบี่ยงว่าขอเวลาสักปีหรือสองปีให้ได้บวชเรียนและศึกษาศิลปศาสตร์ให้จบก่อน พระมหากษัตริย์จำต้องยอมตามใจ หลังจากนั้นไม่นานนัก นางอรพิมจึงขอลาไปตามหาท้าวปาจิตด้วยความรู้สึกสิ้นหวังว่า คงจะไม่พบกันเป็นแน่แล้ว นางไปอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งศึกษาพระธรรมวินัยจนมีความรู้แตกฉานมากพระในวัดและศิษย์ตลอดจนชาวบ้านก็ยกให้เป็นพระสังฆราช นางอรพิมให้สร้างโบสถ์ขึ้นหลังหนึ่งเขียนภาพเล่าเรื่องนางกับท้าวปาจิตที่ฝาผนัง ตั้งแต่ท้าวปาจิตได้อาศัยอยู่กับยายบัวจนถึงตอนนางมาบวชอยู่แต่ละตอนละเอียดครบถ้วนกระบวนความ นางสั่งไว้ว่า หากมีผู้ใดที่มาดูภาพเขียนฝาผนังแล้วร้องไห้ให้คนเฝ้าโบสถ์รีบไปบอกให้รู้ทันที วันหนึ่งท้าวปาจิตเดินทางมาถึงเมืองนี้ ได้เข้าพักอาศัยในโบสถ์ และนอนหลับไป ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ครั้นตื่นขึ้นมองไปรอบ ๆ เห็นภาพเขียนบนฝาผนังโบสถ์ ได้ลุกไปเดินดูโดยรอบ รู้ว่าเป็นเรื่องราวของตนกับนางอรพิม จึงทรุดลงร่ำไห้อยู่ตรงนั้น คนเฝ้าโบสถ์เห็นรีบนำความไปเล่าให้พระสังฆราชรู้ พระสังฆราชให้นำท้าวปาจิตไปพบ ท้าวปาจิตสอบถามความเป็นมาของรูปเขียน พระได้เล่าให้ฟังและบอกว่าตนคือนางอรพิม จากนั้นก็ถอดแหวนออกสวมที่นิ้วนาง กลายรูปเป็นหญิงตามเดิม ทั้งสองสวมกอดกันร่ำไห้ด้วยความยินดีเป็นที่สุด แล้วนางอรพิมก็บอกลาชาววัดและชาวบ้านเดินทางกลับนครธม พระเจ้าอุทุมราชมีความยินดีมาก อภิเษกให้ท้าวปาจิตเป็นกษัตริย์ปกครองประเทศ ทั้งสองครองเมืองกันอย่างมีความสุขสืบมา

3 ความคิดเห็น:

Team IT Phimai กล่าวว่า...

ในฐานะชาวพิมาย เคยฟังผู้เฒ่าผู้แก่เล่าตำนานเรื่องนี้มาหลายครั้ง จำได้ว่าคำว่า "พิมาย" มาจากคำทักของนางอรพิมต่อท้าวปาจิตจริง แต่ทักเป็นภาษาท้องถิ่นพิมาย
จากตำนานในเรื่องนี้ที่นางอรพิมทักท้าวปาจิตว่า "อ้อพี่มา..." นั้น เพี้ยนยังไงก็เป็นคำว่า "พิมาย" ไม่ได้หรอกครับ
ผู้เฒ่าผู้แก่เล่ามาเหมือนตำนานที่เล่าในเรื่องนี้เกือบทุกประการ ยกเว้นคำทักทายของนางอรพิมต่อท้าวปาจิต สืบเนื่องจากนางอรพิมถูกพระเจ้าพรหมทัตนำตัวไปไว้ในปราสาท นางรอท้าวปาจิตไปช่วยนำตัวออกมานาน นางจึงขุ่นใจ เมื่อท้าวปาจิตเข้าไปช่วยเหลือนาง พบหน้าครั้งแรก นางจึงประชดประชันท้าวปาจิตว่า "พี่มาทำไม" คำว่าพี่มาทำไมของภาษากลาง เมื่อพูดเป็นภาษาถิ่นพิมายจะออกเสียงว่า " พิ่มาไอ " (คำว่า พี่ ในภาษากลาง ในภาษาพิมายออกเสียงว่า พิ่ พ. สระ อิ ไม้เอก)

คำว่า "พิ่มาไอ" นี่แหละครับ ฟังแล้วเหมือนคำว่า "พิ่มาย" เมื่อเขียนเป็นภาษากลางวรรณยุกต์เอกจะหายไป เป็น "พิมาย" ในปัจจุบัน ซึ่งถึงแม้ปัจจุบันชาวพิมายก็ออกเสียงชื่ออำเภอเป็น "พิ่มาย" ภาษาราชการเรียก "พิมาย" ใครอยากฟังภาษาพิมายของแท้น่าไปเที่ยวพิมาย โดยเฉพาะต้นเดือนพฤศจิกายนมีเทศกาลเที่ยวพิมาย มีการแข่งเรือ การแสดงแสงสีเสียง การประกวดแมวสีสวาดซึ่งเป็นแมวที่มีถิ่นกำเนิดที่พิมาย และมีอาหารขึ้นชื่อคือผัดหมี่ ปลาหลด และเป็ดย่าง

พิมายมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่น่าสัมผัสมากขอเชิญทุกท่านนะครับอย่าลืมเทศกาลเที่ยวพิมาย


ณรงค์ อุตส่าห์การ

Unknown กล่าวว่า...

เยี่ยม

MChanelS กล่าวว่า...

แล้วคุณ ณรงค์ อุตส่าห์การ ทราบได้ไงครับว่าคนสมัยนั้นเข้าใจสระและพญัชนะไทย ถ้านางอรพิมพูดกับท้าวพรหมทัต รู้เรื่องก็แสดงว่าสมัยนั้นเป็นเขมรหมด ในศตวรรษที่ 16-17 ขอมรุ่งเรืองก่อนจะเสื่อมอำนาจลงในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่7 ฉนั้นคำว่าพี่มา ก้คือเรื่องเล่าปาก ไม่ว่าจะเป็น 'อ้อพี่มา หรือ พี่มาทำไม' ก้ไม่ใช่ทั้งนั้นแหละต้องเอาภาษาเขมรมาเทียบว่าใช่ใหม ប៉ុន្តែហេតុអ្វី?
bonte hetoavei? แปลว่า'พี่มาทำไม' เหมือนใหมผมว่าไม่ใช่นะ คำเล่าปากมีมาจากคนที่พูดภาษาเขมรมาก่อน เขาเข้าใจสื่ออกมาว่า ภาษาไทยหมายถึง'อ้อพี่มา'จากการบอกเล่าของคนพื้นถิ่นเขมรที่แปลงมาเป็นภาษาไทยนั้นเองฉนั้นหลักฐานที่คุณพูดหมายถึงคิดเองใช่ใหมครับ